วัดขัวแคร่ ตั้งอยู่เลขที่ ๕๒๒ ถนนพหลโยธิน หมู่ที่ ๑ บ้านขัวแคร่ ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีเนื้อที่ ๑๐ ไร่ ๘๘ ตารางวา ตามโฉนดเลขที่ ๘๙๙๖๙ เลขที่ ๙๐๐ หน้าที่ ๖๙
อาณาเขต ทิศเหนือ จรดหนองน้ำขัวแคร่
ทิศใต้ จรดถนนสาธารณะ
ทิศตะวันออก จรดถนนพหลโยธิน
ทิศตะวันตก จรดที่สาธารณะ
ที่ธรณีสงฆ์ ๑ แปลง มีเนื้อที่ ๕๖ ตารางวา ตามโฉนดเลขที่ ๑๐๑๙๔๙ เลขที่ ๑๐๒ หน้า ๔๙
วัดขัวแคร่สร้างสมัยใดไม่ปรากฏเด่นชัด
โบราณวัตถุ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ (ทิศตะวันตกของวัด) คาดว่ามีอายุราวพุทธศักราช ๑๘ - ๒๓ แต่ปรากฏในหนังสือประวัติวัดทั่วอาณาจักร เล่ม ๘ ของกองพุทธศาสนา กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๓๒ หน้าที่ ๓๖๐ - ๓๖๑ วัดขัวแคร่สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้พระราชทานวิสุงคามสีมา ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ เขตวิสุงคามสีมา กว้าง ๔๐ เมตร ยาว ๘๐ เมตร ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓ เขตวิสุงคามสีมา กว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๑๘ เมตร
พญามุจลินท์นาคราช |
การบริหารการปกครอง (มีเจ้าอาวาสเท่าที่ทราบ) ดังนี้
๑. พระจันทิมา ปูคา พ.ศ. ๒๔๖๒ - ๒๔๖๖
๒. พระศรีนวล คำบุญเรือง พ.ศ. ๒๔๖๗ - ๒๔๗๗
๓. พระผัด แสงดา พ.ศ. ๒๔๗๗ - ๒๔๘๒
๔. พระเทพสอน พ.ศ. ๒๔๘๓ - ๒๔๘๕
๕. พระคำปัน สุวรรณโณ พ.ศ. ๒๔๘๖ - ๒๔๙๐
๖. พระอินจันทร์ พ.ศ. ๒๔๙๑ - ๒๔๙๔
๗. พระทองใส พ.ศ. ๒๔๙๔ - ๒๕๐๖
๘. พระอินปั๋น พ.ศ. ๒๕๐๖ - ๒๕๑๘
๙. พระอธิการเล็ก ยโสธโร พ.ศ. ๒๕๑๘ - ๒๕๒๖
๑๐. พระอธิการผัด ปัญญาทีโป พ.ศ. ๒๕๒๖ - ๒๕๓๕
๑๑. พระมหาถาวร ยโสธโร (จันต๊ะคำ) พ.ศ. ๒๕๓๖ - ปัจจุบัน
ความเดิมตามคำบอกเล่า
บ้านขัวแคร่ "ขัว หมายถึง สะพาน แคร่ หมายถึง ไม้ไผ่ที่นำมาผ่าเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำมาปูเป็นพื้น"
ขัวแคร่ หมายถึง สะพานที่สร้างขึ้นจากไม้ไผ่ซีกเล็ก ๆ ปูเป็นพื้นทางเดิน สันนิษฐานว่าเคยเป็นที่ตั้งของชุมชนขนาดใหญ่มาแต่ก่อน บนพื้นที่สันดอนใกล้หนองน้ำและละเหมืองขัวแคร่ ปรากฏมีซากโบราณสถาน ซากอิฐหลายแห่งทั้งที่รกร้างและเกือบไม่มีหลายแห่ง เช่น
๑. กู่คำ (บริเวณโรงเรียนบ้านขัวแคร่ติดลำเหมืองขัวแคร่) ถูกรื้อหมดแล้ว เหลือเพียงเศษอิฐเล็ก ๆ น้อย ๆ
๒. กู่แดง (บริเวณทิศตะวันออกของบ้านขัวแคร่ หมู่ ๑ ใกล้หนองบัวคำ) ยังเหลือซากอิฐและเนินดินของพระธาตุอยู่
๓. ทุ่งกู่ (บริเวณทิศใต้บ้านขัวแคร่ หมู่ ๑๗ ติดลำเหมืองขัวแคร่) ถูกรื้อทิ้งหมดแล้ว
๔. กู่สันกอไฮ (บริเวณทิศใต้บ้านเหล่าพัฒนา หมู่ ๑๔ ติดลำเหมืองขัวแคร่) ถูกรื้อขุดเหลือซากอิฐให้เห็นอยู่เล็ก ๆ น้อย ๆ
๕. กู่ขาว (บริเวณหลังวัดขัวแคร่ ติดลำเหมืองขัวแคร่) เหลือซากอิฐให้เห็นอยู่
๖. ลำเหมืองขัวแคร่ เป็นสายน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงชุมชน แต่กาลก่อนจนถึงปัจจุบันมีพื้นที่ทั้งหมด ๔๑ ไร่ ๒ งาน
๗. หนองบัวคำ (บริเวณทิศตะวันออกบ้านขัวแคร่ หมู่ ๑) เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่มีพื้นที่ทั้งหมด ๑๒ ไร่
เทวดารักษาพระมหาวิหารหลวงพญาเจ้ามังรายมหาราช |
บ้านขัวแคร่เป็นสถานที่สมบูรณ์
ทิศตะวันตก เป็นภูเขา
ทิศตะวันออก เป็นที่ราบลุ่ม "อู่ข้าว อู่น้ำ"
ทิศเหนือ - ใต้ เป็นที่ราบลุ่ม "อู่ข้าว อู่น้ำ"
ดังนั้นจึงเป็นที่กลุ่มชนต่าง ๆ อพยพมาตั้งถิ่นฐานทั่วบริเวณ อาทิเช่น จากสิบสองปันนา เชียงรุ้ง เชียงตุง มาพักตั้งถิ่นฐานแต่กาลก่อน โดยมีพระนางเจ้าเทพคำขยาย พระราชมารดาของ พ่อขุนมังรายมหาราช พร้อมด้วยบริวารผู้คน ได้มาพักบริเวณนี้และกาลเวลาได้เปลี่ยนไปก็เสื่อมสูญตามสภาวธรรมตามวันเวลา
จนมาถึงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ กลุ่มชนจากสิบสองปันนา เชียงรุ้ง เชียงตุง ได้มาตั้งถิ่นฐาน บ้านเรือนเพื่อพักสินค้า และค้าขายสินค้ากับตัวเมืองเชียงราย
ต่อมามีกลุ่มชนจากเชียงใหม่ อ.สันกำแพง บ้านสันต้นเปา, บ่อสร้าง, หนองโค้ง, ป่าเส้า อ.ดอยสะเก็ด, บ้านสันต้นม่วงใต้ เป็นต้น ได้มาบุกเบิกไรนาสร้างเรือน อันเป็นกลุ่มชนที่มีมากที่สุดในหมู่บ้านปัจจุบัน
ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ บ้านขัวแคร่ได้ใช้เป็นคลังเสบียง คลังน้ำมัน และบริเวณวัดได้เป็นค่ายที่พักของเหล่าทหารไทย โดยการนำของจอมพลผิน ชุณหะวัณ โดยกองทัพได้นำก้อนหินผามาถมบริเวณวัด และถนนในหมู่บ้านทิศตะวันตก เป็นระยะทางประมาณ ๑,๓๐๐ เมตร ปัจจุบันได้เทคอนกรีตทับหมดแล้ว ไม่ปรากฎให้เห็น หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลง กลุ่มชนจากจังหวัดพะเยาก็ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐาน บุกเบิกทำไร่ ทำนา สร้างบ้าน สร้างเรือนสมทบอีกกลุ่มหนึ่ง
ดังนั้นบ้านขัวแคร่มีกลุ่มชนหลายหมู่ คือ
๑. คนสิบสองปันนา เชียงรุ้ง (คนลื้อ)
๒. คนเชียงตุง (คนไทยใหญ่)
๓. คนเมืองยอง (คนยอง)
๔. คนเชียงใหม่ - พะเยา - เชียงราย (คนเมือง)
ต่อมามีประชาชนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงแยกการปกครองเป็น ๓ หมู่บ้าน คือ
๑. บ้านขัวแคร่ หมู่ที่ ๑ ตำบลบ้านดู่
๒. บ้านเหล่าพัฒนา หมู่ที่ ๑๔ ตำบลบ้านดู่